การศึกษาอนุกรมวิธานของพืชวงศ์กล้วยไม้ บริเวณอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม จังหวัดชัยภูมิ
(Taxonomic Study on Orchidaceae in the Pa-Hin-Ngam National Park, Changwat Chaiyaphum)


รายชื่อกล้วยไม้ บริเวณอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม
(List of orchids found in the Pa-Hin-Ngam
National Park)

  • Acriopsis indica Wight นมหนู
  • Aerides houlettiana Rchb. f. กุหลาบเหลืองโคราช
  • Bromheadia aporoides Rchb. f. เอื้องจำปา
  • Bulbophyllum affine Lindl. สิงโตงาม สิงโตประหลาด
  • Bulbophyllum blepharistes Rchb. f. สิงโตกลอกตา สิงโตสมอหิน
  • Bulbophyllum lemniscatoides Rolf สิงโตขนตาแดง
  • Bulbophyllum lepidum (Blume) J. J. Sm สิงโตพัดแดง
  • Bulbophyllum parviflorum Par. & Rchb. f. สิงโตรวงข้าวน้อย
  • Bulbophyllum propinquum Kraetzl เอื้องกีบม้าขาว
  • Cleisostoma simondii (Gagnep.) Seidenf. เอื้องสร้อยทับทิม
  • Coelogyne brachyptera Rchb. f. เอื้องเทียน เอื้องลำเทียนปากดำ
  • Coelogyne cumingii Lindl. เอื้องมัน
  • Coelogyne trinervis Lindl. เอื้องหมาก
  • Cymbidium aloifolium (L.) Sw. กะเรกะร่อน
  • Dendrobium compactum Rolfe ex W. Hackett เอื้องข้าวตอก
  • Dendrobium draconis Rchb. f. เอื้องเงิน เอื้องตึง 
  • Dendrobium ellipsophyllum Tang & Wang เอื้องทอง 
  • Dendrobium signatum Rchb. f.เอื้องคำกิ่วเอื้องตีนนกเอื้องตีนเป็ด 
  • Dendrobium unicum Seidenf. เอื้องครั่งแสด เอื้องสายสีแสด 
  • Doritis pulcherrima Lindl. ม้าวิ่ง 
  • Eria dasypus Rchb. f. เอื้องลำอ้วนดอกขน 
  • Eria pubescens (Hook.) Steud. เอื้องคำหิน 
  • Eulophia macrobulbon (Par. & Rchb. f.) Hook. f. ว่านอึ่ง 
  • Eulophia spectabilis (Dennst.) Suresh. ว่านหัวครู ว่านดิน 
  • Habenaria dentata (Sw.) Schltr. นางอั้วน้อย เอื้องข้าวตอก 
  • Habenaria humistrata Rolfe ex Downie ตูบหมูบมดลิ่น
  • Habenaria rhodocheila Hance ปัดแดง สังหิน
  • Luisia curtisii Seidenf. ขอซิง 
  • Panisea uniflora (Lindl.) Lindl. เอื้องรงรอง 
  • Pecteilis susannae (L.) Raf. นางอั้ว เอื้องตีนกบ นางกราย 
  • Peristylus lacertiferus (Lindl.) J. J. Sm. อั้วจิ๋วหนวดงาม 
  • Pholidota recurva Lindl. เอื้องเหลี่ยมลำต่อ เอื้องข้อต่อ 
  • Polystachya concreta (Jacq.) Garay & Sweet. เอื้องคางอ้ม 
  • Spathoglottis affinis de Vriese หัวข้าวเหนียว 
  • Tainia angustifolia (Lindl.) Benth. & Hook. f. เอื้องสีลา 
  • Thrixspermum centipeda Lour.เอื้องกลีบผอมตะขาบเหลืองตีนตะขาบ 
  • Trichotosia dasyphylla (Par. & Rchb. f.) Kraetzl เอื้องเบี้ยไม้ใบขน สามก้อม 

 


Dendrobium

Sw., Nova. Acta Regiae Soc, Sci. Upsal 6: 82 (1799); Benth. & Hook. f., Gen. Pl. 3: 498 (1883).

กล้วยไม้อิงอาศัย เจริญเติบโตแบบแตกกอ ลำลูกกล้วยสั้นและอวบน้ำ หรือยืดยาวคล้ายลำต้น ปล้องมักพองออก ใบไม่มีก้านใบ ใบบางหรือหนา ใบแก่มักหลุดร่วง ช่อดอกแบบช่อกระจะ เกิดที่ด้านข้างหรือที่ใกล้ปลายของลำลูกกล้วย ดอกมีหนึ่งถึงหลายดอก ออกดอกระหว่างมีใบหรือใบร่วงหมดแล้ว กลีบเลี้ยงมีขนาดใกล้เคียงกัน กลีบเลี้ยงคู่ข้างเชื่อมกันที่ฐานของเส้าเกสรเกิดเป็นคาง (mentum) กลีบดอกมีขนาดเล็กหรือใหญ่กว่ากลีบเลี้ยง มักมีลักษณะบางกว่า กลีบปากมีฐานเรียวแคบ ติดอยู่กับฐานของเส้าเกสร แฉกข้างมีขนาดใหญ่และกางออกหรือแฉกข้างไม่มี แฉกกลางแคบหรือกว้าง แบน โค้ง หรือเป็นถุง ด้านในของกลีบปากมักมีสันตามยาว เส้าเกสรสั้น มีฐานสั้นหรือยาว ปลายด้านบนมีเขาสั้น ๆ ข้างละ 1 อัน ก้อนเรณูมี 4 ก้อน รูปไข่หรือขอบขนาน อยู่เป็นคู่ ๆ ละ 2 ก้อน ไม่มีฐานก้อนเรณู

รูปวิธานแยกชนิด

1. กาบใบหรือส่วนอื่น ๆ ของลำลูกกล้วยมีขนสีดำ ดอกสีขาวขนาดใหญ่ ช่อดอกเกิดใกล้ปลายยอด กลีบปากสีขาว โคนกลีบสีแดง คาง (mentum) ยาว 2 ซม.ขึ้นไป 2. D. draconis

1. กาบใบหรือส่วนอื่น ๆ ไม่มีขนสีดำ ดอกขนาดใหญ่หรือเล็ก ช่อดอกเกิดด้านข้างหรือใกล้ปลายยอด คาง (mentum) ยาวต่ำกว่า 1 ซม.

   2. ลำลูกกล้วยขนาดเล็ก มักยาวต่ำกว่า 10 ซม. ช่อดอกเกิดที่ปลายหรือด้านข้างใกล้ปลายของลำลูกกล้วย ก้านช่อดอกมักยาวกว่า 1 ซม. ใน 1 ช่อมีดอกขนาดเล็กจำนวนมาก กลีบปากมีขอบหยักเป็นคลื่น ตรงกลางมีสันปลายแหลม 1 สัน 1. D. compactum

   2. ลำลูกกล้วยค่อนข้างเรียวยาว ช่อดอกเกิดที่ด้านข้างของลำลูกกล้วย ก้านช่อดอกมักยาวต่ำกว่า 1 ซม. ดอกเดี่ยว หรือ 1 ช่อ มีดอกจำนวนน้อย 2 - 4 ดอก ดอกขนาดกลางถึงขนาดใหญ่กลีบปากไม่มีลักษณะดังกล่าว

   3. ดอกขนาดกลาง มักเป็นดอกเดี่ยว กลีบปากสีส้ม แฉกข้างมีขนาดเล็ก กลางกลีบปากมีสันสีเขียว 3 สัน 3. D. ellipsophyllum

   3. ดอกขนาดกลางถึงใหญ่ ใน 1 ช่อ มี 2 - 4 ดอก กลีบปากสีเหลืองหรือแดง ไม่มีแฉกข้าง

      4. กลีบเลี้ยงและกลีบดอกสีแสด กลีบปากสีแดง ตรงกลางมีสันสีขาวยาว ลำลูกกล้วยค่อนข้างเล็ก 5. D. unicum

      4. กลีบเลี้ยงและกลีบดอกสีขาวแกมม่วง กลีบปากสีเหลือง มีสันสั้น ๆ เฉพาะที่ฐานกลีบ
ลำลูกกล้วยขนาดใหญ่ 4. D. signatum

1. Dendrobium compactum Rolfe ex W. Hackett, Gard. Chron. 2: 400 (1904); Rolfe in Bull. Misc. Inform. Kew 1906:113 (1906); Seidenf. & Smitinand, Orch. Thailand 2: 233 (1960); Seidenf. in Opera Botanica 83: 145, fig. 98, pl. XVIIb (1985).

   กล้วยไม้อิงอาศัย ลำลูกกล้วยตั้งขึ้น ยาว 2 - 7 ซม. เส้นผ่าศูนย์กลางที่โคน 0.5 - 0.8 ซม. ส่วนโคนกว้างกว่าส่วนปลาย ใบเกิดที่ด้านข้างของลำลูกกล้วย เรียงสลับกันเป็น 2 แถว ใบรูปขอบขนานแกมรูปแถบ หรือขอบขนานแกมใบหอก ขนาด 2 - 5 x 0.5 - 1.2 ซม. ปลายใบหยักเป็น 2 แฉกตื้น ๆ ไม่เท่ากัน โคนใบเป็นกาบหุ้มรอบลำลูกกล้วย ขอบใบเรียบ แผ่นใบบาง เกลี้ยงทั้ง 2 ด้าน ช่อดอกเกิดที่ปลายหรือด้านข้างใกล้ปลายลำลูกกล้วย 3 - 6 ช่อ มีดอกขนาดเล็ก จำนวนมาก ก้านช่อดอกยาว 1 - 3 ซม. ใบประดับตามก้านช่อดอกมีขนาดเล็ก เวลาออกดอกมักไม่พบใบ หรือพบใบน้อย ดอก สีขาว มีกลิ่นหอม ก้านดอกย่อยยาว 2 - 3 มม. ใบประดับที่ก้านดอกย่อยยาวประมาณ 1.5 มม. กลีบเลี้ยงอันบนรูปใบหอก ยาวประมาณ 5 x 2 มม. กลีบเลี้ยงคู่ข้างรูปไข่ ยาวประมาณ 5 มม. ฐานกว้างประมาณ 4 มม. กลีบดอกรูปใบหอกกลับแกมรูปไข่กลับ ขนาดประมาณ 5 x 2 มม. ทั้งกลีบดอกและกลีบเลี้ยงมีสีขาว คางยาวประมาณ 5 มม. กลีบปากยาวประมาณ 5 มม. แฉกข้างไม่ชัดเจน ปลายกลีบปากสีเขียวอ่อน หยักเป็นคลื่น ขอบด้านข้างหยักมน กลีบปากแผ่ออกกว้างประมาณ 4 มม. ตรงกลางมีสันนูน ปลายแหลม เส้าเกสรขนาด 3 x 1 มม. ก้านเรณูมี 4 ก้อน ฝาอับเรณูสีเหลือง ผลไม่พบ

ประเทศไทย.- เหนือ: เชียงใหม่ (ดอยสุเทพ อมก๋อย ดอยขุนห้วยปง); ตะวันออกเฉียงเหนือ: เลย (ภูกระดึง); ตะวันออก: ชัยภูมิ (ป่าหินงาม)

การกระจายพันธุ์.- พม่า จีน ไทย

นิเวศวิทยา.- พบน้อยบนต้นไม้สูงริมหน้าผาสุดแผ่นดิน ออกดอกเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน

ชื่อพื้นเมือง.- เอื้องข้าวตอก

2. Dendrobium draconis Rchb. f., Bot. Zeit.: 214 (1862); Hook. f. in Fl. Brit. India 5: 722 (1890); Grant, Orch. Burma : 86 (1895); Holttum Rev. Fl. Malaya 1: 296 (1957); Seidenf. & Smitinand, Orch. Thailand 2: 228, pl. X (1960); Back. & Bakh. f., Fl. Java 3: 356 (1968); Seidenf. in Opera Botanica 83: 110, fig. 66, pl. XIVd (1985); 114: 211 (1992).- D. eburneum Rchb. f. ex Bateman in Bot. Mag.: 5459 (1864).- D. andersonii J. Scott in J. Agric. Hort. Soc. Ind. n. s. 3: 117 (1882).- Callista draconis (Rchb. f.) Kuntze, Rev. Gen. 2: 654 (1891).

   กล้วยไม้อิงอาศัย ลำลูกกล้วยตั้งขึ้น ยาวได้ถึง 30 ซม. เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5 - 1.5 ซม. ลำรูปกระสวยหรือมีส่วนโคนเรียวแคบ ลำอ่อนมีขนสีดำหนาแน่น ลำแก่ขนหลุดร่วงไป เหลืออยู่บ้างบริเวณกาบใบ ใบเกิดที่ด้านข้างของลำลูกกล้วย เรียงสลับกันเป็น 2 แถว ใบรูปใบหอกขนาด 4 - 10 x 2 - 2.5 ซม. ปลายใบหยักเป็น 2 แฉกตื้น ๆ ไม่เท่ากัน โคนใบเป็นกาบหุ้มรอบลำลูกกล้วย ขอบใบเรียบ แผ่นใบเหนียวคล้ายแผ่นหนัง มีขนสั้น ๆ ทั้งสองด้าน ช่อดอกออกที่ด้านข้างหรือที่ปลายยอดของลำลูกกล้วย 2 - 3 ช่อ ใน 1 ช่อมี 2 - 5 ดอก ก้านช่อดอกสั้นประมาณ 5 มม. มีใบประดับสั้น ๆ หลายใบหุ้มซ้อนทับกัน เวลาออกดอกพบทั้งที่มีใบและไม่มีใบ ดอกสีขาว มีกลิ่นหอม ก้านดอกย่อยสีขาว ยาว 2 - 5 ซม. ใบประดับที่ก้านดอกย่อยยาว 5 - 8 มม. กลีบเลี้ยงอันบนรูปใบหอก ขนาด 2.5 - 3.5 x 0.7 - 1 ซม. กลีบเลี้ยงคู่ข้างรูปเคียว ฐานกว้าง 0.8 - 1 ซม. ยาว 3.5 - 4 ซม. กลีบดอกรูปไข่แกมรูปใบหอก ขนาด 3 - 3.5 x 1 - 1.5 ซม. ทั้งกลีบเลี้ยงและกลีบดอกสีขาว เป็นมันสะท้อนแสง คางมีลักษณะตรง ยาว 2 - 2.5 ซม. กลีบปากยาว 3 - 3.5 ซม. แฉกข้างปลายมน เมื่อกางอกทั้ง 2 ข้าง กว้าง 1.5 - 2 ซม. บริเวณฐานแฉกและฐานกลีบปากมีสีแดง แฉกกลางสีขาว รูปรี กว้าง 1.4 - 1.6 ซม. ขอบหยักมน เส้าเกสร ขนาด 5 x 3 มม. ด้านหน้ามีสีแดง ก้อนเรณูสีเขียวอ่อน 4 ก้อน ผลแห้งแล้วแตก ขนาด 4 x 3.8 ซม.

   ประเทศไทย.- เหนือ: ตาก (แม่ระมาด) แม่ฮ่องสอน (ขุนยวม) เชียงใหม่ (แม่แจ่ม ดอยสะเก็ด ดอยสุเทพ ดอยอินทนนท์) พะเยา (งาว) แพร่ (ร้องกวาง) อุตรดิตถ์ (น้ำปาด); ตะวันออกเฉียงเหนือ: เพชรบูรณ์ (น้ำหนาว) เลย (ด่านซ้าย) สกลนคร (ภูพาน); ตะวันออก: ชัยภูมิ (หนองบัวแดง ป่าหินงาม) อุบล ศรีสะเกษ (เขาพระวิหาร) นครราชสีมา (เขาใหญ่); ตะวันตกเฉียงใต้: กาญจนบุรี (เขาเด่น); ตะวันออกเฉียงใต้: ปราจีนบุรี (กระบินทร์บุรี)

การกระจายพันธุ์.- อินเดีย พม่า ไทย ลาว เวียดนาม และกัมพูชา

นิเวศวิทยา.- พบทั่วไปในที่มีแสงค่อนข้างมาก ออกดอกและผลระหว่างเดือนมีนาคม - กรกฎาคม

ชื่อพื้นเมือง.- เอื้องเงิน เอื้องตึง

3. Dendrobium ellipsophyllum Tang & Wang in Acta Phytotax. Sin. 1(1) : 81 (1951); Seidenf. in Opera Botanica 83: 180, fig. 124, pl. XXa (1985); 114: 238 (1992).- D. revulatum (non Lindl.) Rchb. f. in Trans. Linn. Soc. 30(1) : 151 (1874); Seidenf. & Smitinand, Orch. Thailand 2: 248, fig. 186 (1960), pro parte.

   กล้วยไม้อิงอาศัย ลำลูกกล้วยตั้งขึ้น ยาวได้ถึง 60 ซม. เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.4 - 1 ซม. ส่วนโคนลำแคบกว่าส่วนกลาง ลำลูกกล้วยมักเป็นร่องตื้น ๆ ตามยาว ใบออกที่ด้านข้างของลำลูกกล้วย เรียงเป็น 2 แถว ใบรูปไข่ ขนาด 1.5 - 2.5 x 1.5 - 2 ซม. ชี้ขึ้นเป็นแนวเฉียงกับลำลูกกล้วย ปลายใบหยักเป็น 2 แฉกไม่เท่ากัน โคนใบเป็นกาบหุ้มรอบลำลูกกล้วย ขอบใบเรียบ แผ่นใบเหนียวคล้ายแผ่นหนัง ผิวด้านบนเกลี้ยงเป็นมัน เส้นกลางใบเห็นชัดเจนทางด้านล่าง ดอกเป็นดอกเดี่ยวออกที่ซอกใบ ก้านดอกสีขาว ยาว 1 ซม. ใบประดับที่ก้านดอกมีขนาดเล็ก 2 - 3 ใบ กลีบเลี้ยงอันบนรูปไข่ ฐานกว้างประมาณ 5 มม. ยาวประมาณ 1 ซม. กลีบเลี้ยงคู่ข้างรูปไข่แกมรูปใบหอก ฐานกว้าง 5 - 6 มม. ความยาวจากปลายคางถึงปลายกลีบ 1.7 - 1.8 ซม. กลีบดอกรูปหอก ขนาด 1 - 1.2 x 0.3 - 0.4 ซม. ทั้งกลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีสีขาว ปลายม้วนไปด้านหลัง คางยาว 7 - 8 มม. กลีบปากสีส้มอ่อน ยาว 1.5 - 1.8 ซม. แฉกข้างอยู่ค่อนมาทางโคนกลีบปาก มีขนาดเล็ก ปลายแหลม แฉกกลางคล้ายรูปสี่เหลี่ยม กว้าง 1.2 - 1.5 ซม. ปลายเว้าเล็กน้อย ขอบด้านข้างโค้งลง กลางกลีบปากมีสันสีเขียว 3 สัน สันกลางยาวกว่าสันข้าง เส้าเกสรขนาด 5 x 3 - 4 มม. ใกล้ฐานด้านหน้าเส้าเกสรมีร่อง nectary gland สีเขียว 2 ร่อง ก้อนเรณูมี 4 ก้อน ฝาอับเรณูสีส้มอ่อน ผลแห้งแล้วแตก ขนาด 2.5 - 3 x 1 - 1.5 ซม.

   ประเทศไทย.- เหนือ: ตาก (ดอยมูเซอ) น่าน พิษณุโลก (ทุ่งแสลงหลวง); ตะวันออกเฉียงเหนือ: เลย เพชรบูรณ์ ; ตะวันออก: ชัยภูมิ (ภูเขียว ป่าหินงาม) ศรีสะเกษ นครราชสีมา (เขาใหญ่); ตะวันตกเฉียงใต้: กาญจนบุรี (เขาเด่น); ตะวันออกเฉียงใต้: จันทบุรี (เขาสระบาป) ตราด (เขากวบ); ใต้: พังงา (ตะกั่วทุ่ง)

การกระจายพันธุ์.- พม่า จีน (ยูนนาน) ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม

นิเวศวิทยา.- พบค่อนข้างน้อย ในที่มีแสงพอประมาณ มักพบเป็นกอใหญ่ ๆ ออกดอกและผลระหว่างเดือนเมษายน - กันยายน

ชื่อพื้นเมือง.- เอื้องทอง

4. Dendrobium signatum Rchb. f., Gard. Chron. 1: 306 (1884); Rolfe in Orch. Rev. 18: 100 (1910); Seidenf. in Opera Botanica 83: 77, fig. 44, pl. Xb (1985); 114: 234 (1992).- D. hildebrandii Rolfe in Bull. Misc. Inform. Kew 1894: 182 (1894); Seidenf. & Smitinand, Orch. Thailand 2: 207 (1960); 4: 772 (1964).- D. tortile var. heldebrandii (Rolfe) Tang & Wang in Acta Phytotax. Sin. 1(1): 82 (1951).

   กล้วยไม้อิงอาศัย ลำลูกกล้วยตั้งขึ้น ยาวได้ถึง 50 ซม. เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5 - 2 ซม. ส่วนโคนเรียวแคบกว่าส่วนปลาย ใบเกิดที่ด้านข้างของลำลูกกล้วย เรียงสลับกันเป็น 2 แถว ใบรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก ขนาด 8 - 10 x 2 - 3 ซม. ปลายใบหยักเป็น 2 แฉกตื้น ๆ ไม่เท่ากัน โคนใบเป็นกาบหุ้มรอบลำลูกกล้วย ขอบใบเรียบ แผ่นใบเหนียวคล้ายแผ่นหนัง ใบเกลี้ยงทั้ง 2 ด้าน ช่อดอกออกที่ด้านข้าง ตั้งแต่บริเวณกึ่งกลางจนถึงใกล้ส่วนปลายของลำลูกกล้วย มีหลายช่อ ใน 1 ช่อมี 2 - 4 ดอก ก้านช่อดอกยาว 0.5 - 2 ซม. ใบประดับที่ก้านช่อดอกยาว 0.3 - 0.8 มีหลายใบหุ้มซ้อนทับกัน ต้นที่ออกดอกมักไม่พบใบ ดอกมีกลิ่นหอม ก้านดอกย่อยยาว 3.5 - 5 ซม. ใบประดับที่ก้านดอกย่อยยาว 0.5 - 1 ซม. กลีบเลี้ยงอันบนรูปขอบขนาน ขนาด 3.5 - 4 x 1 - 1.2 ซม. ปลายมน กลีบเลี้ยงคู่ข้างรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน ขนาด 4 - 4.5 x 1 ซม. ปลายแหลม กลีบดอกรูปไข่แกมรูปใบหอก ขนาด 4 x 1.5 - 1.8 ซม. ทั้งกลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีสีขาวอมม่วง ขอบและปลายกลีบมักบิดโค้ง คางยาวประมาณ 8 มม. กลีบปากตรงกลางสีเหลืองเข้ม ขอบสีเหลืองอ่อน กลีบรูปไข่ ยาว 3 - 3.5 ซม. ปลายกลีบแหลมหรือมน โคนกลีบตัด มีก้านสั้น ๆ ขอบกลีบส่วนกลางและปลายโค้งออก ขอบกลีบที่โคนม้วนเข้าซ้อนเหลื่อมกันเกิดเป็นท่อ โคนกลีบปากมีกลุ่มเส้นสีดำ 2 กลุ่ม แผ่นกลีบปากมีขนแบบกำมะหยี่ปกคลุมทั้ง 2 ด้าน เส้าเกสรสีเขียว ขนาด 4 x 3 มม. 2 ข้างยอดเกสรเพศเมีย มีเส้นสีดำตามยาว ฝาอับเรณูสีม่วงอ่อน ก้อนเรณู 4 ก้อน ผลเป็นแบบผลแห้งแตก ขนาด 6 x 2 ซม.

ประเทศไทย.- เหนือ: แม่ฮ่องสอน (แม่สะเรียง) เชียงใหม่ (ดอยสุเทพ ดอยสะเก็ด เชียงดาว) พะเยา (งาว) พิษณุโลก (นครไทย ทุ่งแสลงหลวง ภูเมี่ยง): ตะวันออกเฉียงเหนือ: เพชรบูรณ์ (น้ำหนาว) เลย (ด่านซ้าย); ตะวันออก: ชัยภูมิ (ป่าหินงาม)

การกระจายพันธุ์.- พม่า ลาว และไทย

นิเวศวิทยา.- พบทั่วไปบนต้นไม้ ตั้งแต่ระดับพื้นดินจนถึงกิ่งสูง ๆ ในป่าเต็งรัง ออกดอกและผลระหว่างเดือนมีนาคม - กรกฎาคม

ชื่อพื้นเมือง.- เอื้องคำกิ่ว เอื้องตีนนก เอื้องตีนเป็ด

5. Dendrobium unicum Seidenf. in Bot. Tidsskr. 65: 332, fig. 12 (1970); Hunt in Bot. Mag. n. s. 179, 1; t. 616 (1972); Seidenf. in Opera Botanica 83: 40, fig. 18, pl. IVa (1985); 114: 227 (1992).

   กล้วยไม้อิงอาศัย ลำลูกกล้วยแตกเป็นกอจากเหง้าสั้น ๆ ลำมักตั้งขึ้น ยาวได้ถึง 18 ซม. เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5 - 1 ซม. ที่ปลายและโคนมักแคบกว่าส่วนกลาง ลำอ่อนมีใบ 2 - 3 ใบที่ปลาย ลำแก่มักไม่พบใบ ใบรูปรีแกมรูปขอบขนานหรือรูปใบหอก ขนาด 4 - 7 x 0.5 - 2 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบเป็นกาบหุ้มรอบลำลูกกล้วย ขอบใบเรียบหรือบิดเป็นคลื่นเล็กน้อย แผ่นใบสีเขียวเข้ม ช่อดอกออกที่ด้านข้างของลำลูกกล้วย 2 - 4 ช่อ ใน 1 ช่อมี 2 - 3 ดอก ก้านช่อดอกยาว 5 - 7 มม. ใบประดับที่โคนก้านช่อยาว 3 - 4 มม. เวลาดอกออกมักไม่พบใบ ดอกสีแสด ก้านดอกย่อยสีส้มอ่อน ยาว 2.2 - 2.4 ซม. ใบประดับที่ก้านดอกย่อยยาว 2.5 มม. กลีบเลี้ยงอันบนรูปขอบขนานแกมใบหอก ขนาด 2.4 - 2.5 x 0.4 - 0.5 ซม. กลีบเลี้ยงคู่ข้างรูปร่างเช่นเดียวกัน ขนาด 2.5 - 2.8 x 0.4 - 0.5 ซม. กลีบดอกรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน ขนาด 2.5 - 2.2 x 0.6 - 0.7 ซม. ใหญ่กว่ากลีบเลี้ยงเล็กน้อย ที่กลีบเลี้ยงและกลีบดอกมักบิดโค้ง คางยาวประมาณ 5 มม. กลีบปากรูปไข่แกมรูปขอบขนาน ขนาด 2.3 - 2.5 x 1 ซม. ขอบม้วนเข้า โดยเฉพาะที่โคนกลีบมีขอบม้วนซ้อนทับกัน ตรงกลางกลีบปากมีสันยาวโดยตลอด ตามสันมีเกล็ดสีขาวสะท้อนแสงปกคลุม มีเส้นสีม่วงเข้มจำนวนมากจากสันไปสู่ขอบกลีบ ปลายเส้นมักแตกเป็น 2 แขนง เส้าเกสรสั้น ขนาด 2.5 x 2 มม. ก้านเรณูมี 4 ก้อน ผลแห้งแตก ขนาด 2 x 1.2 ซม.

ประเทศไทย.- เหนือ: เชียงใหม่ (ออมก๋อย); ตะวันออกเฉียงเหนือ: เลย (ภูเรือ ภูหลวง); ตะวันออก: ชัยภูมิ (ภูเขียว ป่าหินงาม)

การกระจายพันธุ์.- ลาว และไทย

นิเวศวิทยา.- พบน้อยบริเวณใกล้หน้าผาสุดแผ่นดิน ออกดอกและผลระหว่างเดือนมีนาคม - พฤษภาคม

ชื่อพื้นเมือง.- เอื้องครั่งแสด เอื้องสายสีแสด