การศึกษาอนุกรมวิธานของพืชวงศ์กล้วยไม้ บริเวณอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม จังหวัดชัยภูมิ
(Taxonomic Study on Orchidaceae in the Pa-Hin-Ngam National Park, Changwat Chaiyaphum)


รายชื่อกล้วยไม้ บริเวณอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม
(List of orchids found in the Pa-Hin-Ngam
National Park)

  • Acriopsis indica Wight นมหนู
  • Aerides houlettiana Rchb. f. กุหลาบเหลืองโคราช
  • Bromheadia aporoides Rchb. f. เอื้องจำปา
  • Bulbophyllum affine Lindl. สิงโตงาม สิงโตประหลาด
  • Bulbophyllum blepharistes Rchb. f. สิงโตกลอกตา สิงโตสมอหิน
  • Bulbophyllum lemniscatoides Rolf สิงโตขนตาแดง
  • Bulbophyllum lepidum (Blume) J. J. Sm สิงโตพัดแดง
  • Bulbophyllum parviflorum Par. & Rchb. f. สิงโตรวงข้าวน้อย
  • Bulbophyllum propinquum Kraetzl เอื้องกีบม้าขาว
  • Cleisostoma simondii (Gagnep.) Seidenf. เอื้องสร้อยทับทิม
  • Coelogyne brachyptera Rchb. f. เอื้องเทียน เอื้องลำเทียนปากดำ
  • Coelogyne cumingii Lindl. เอื้องมัน
  • Coelogyne trinervis Lindl. เอื้องหมาก
  • Cymbidium aloifolium (L.) Sw. กะเรกะร่อน
  • Dendrobium compactum Rolfe ex W. Hackett เอื้องข้าวตอก
  • Dendrobium draconis Rchb. f. เอื้องเงิน เอื้องตึง 
  • Dendrobium ellipsophyllum Tang & Wang เอื้องทอง 
  • Dendrobium signatum Rchb. f.เอื้องคำกิ่วเอื้องตีนนกเอื้องตีนเป็ด 
  • Dendrobium unicum Seidenf. เอื้องครั่งแสด เอื้องสายสีแสด 
  • Doritis pulcherrima Lindl. ม้าวิ่ง 
  • Eria dasypus Rchb. f. เอื้องลำอ้วนดอกขน 
  • Eria pubescens (Hook.) Steud. เอื้องคำหิน 
  • Eulophia macrobulbon (Par. & Rchb. f.) Hook. f. ว่านอึ่ง 
  • Eulophia spectabilis (Dennst.) Suresh. ว่านหัวครู ว่านดิน 
  • Habenaria dentata (Sw.) Schltr. นางอั้วน้อย เอื้องข้าวตอก 
  • Habenaria humistrata Rolfe ex Downie ตูบหมูบมดลิ่น
  • Habenaria rhodocheila Hance ปัดแดง สังหิน
  • Luisia curtisii Seidenf. ขอซิง 
  • Panisea uniflora (Lindl.) Lindl. เอื้องรงรอง 
  • Pecteilis susannae (L.) Raf. นางอั้ว เอื้องตีนกบ นางกราย 
  • Peristylus lacertiferus (Lindl.) J. J. Sm. อั้วจิ๋วหนวดงาม 
  • Pholidota recurva Lindl. เอื้องเหลี่ยมลำต่อ เอื้องข้อต่อ 
  • Polystachya concreta (Jacq.) Garay & Sweet. เอื้องคางอ้ม 
  • Spathoglottis affinis de Vriese หัวข้าวเหนียว 
  • Tainia angustifolia (Lindl.) Benth. & Hook. f. เอื้องสีลา 
  • Thrixspermum centipeda Lour.เอื้องกลีบผอมตะขาบเหลืองตีนตะขาบ 
  • Trichotosia dasyphylla (Par. & Rchb. f.) Kraetzl เอื้องเบี้ยไม้ใบขน สามก้อม 

 


Bulbophylum

Thouars, Orch. Iles. Afr. tab. esp. 3 et Ic. t. 93 ad 97 et 99 ad 110 (1822); Benth. & Hook. f., Gen. Pl. 3: 501 (1883).

กล้วยไม้อิงอาศัยหรือขึ้นตามก้อนหิน (lithophyte) เจริญเติบโตแบบแตกกอ เหง้า (rhizome) เลื้อย ลำลูกกล้วยอยู่ชิดกัน หรือกระจายห่าง ๆ แต่ละลำมี 1 ข้อ ลำลูกกล้วยมีใบ 1-2 ใบ เกิดที่ปลายยอด ช่อดอกเกิดจากตาข้างใกล้ฐานของลำลูกกล้วย ดอกมีหนึ่งหรือหลายดอก กลีบเลี้ยงคู่ข้างมีขอบของกลีบแยก หรือแนบชิดกัน ความยาวกลีบมากกว่ากลีบเลี้ยงอันบนเล็กน้อย ฐานของกลีบเลี้ยงคู่ข้างแนบติดกับฐานเส้าเกสร เกิดเป็นเดือย (mentum) สั้น ๆ กลีบดอกมีขนาดเล็กกว่ากลีบเลี้ยง กลีบปากมีรูปร่างคล้ายลิ้น อวบน้ำ ยึดติดกับปลายฐานของเส้าเกสร เคลื่อนไหวได้ แฉกข้างมีขนาดเล็กติดอยู่ใกล้ฐานกลีบปาก หรือไม่พัฒนา เส้าเกสรมีรยางค์หรือปีกเด่นชัดที่ปลาย ก้อนเรณู 4 ก้อน ไม่มีก้านก้อนเรณู

รูปวิธานแยกชนิด

1. ปลายลำลูกกล้วยมีใบ 2 ใบ พบใบระหว่างออกดอก 2. B. blepharistes

1. ปลายลำลูกกล้วยมีใบ 1 ใบ หรือไม่พบใบระหว่างออกดอก

   2. ช่อดอกแบบซี่ร่ม (umbel) ดอกที่ปลายช่อแผ่เรียงอยู่ในระนาบเดียวกันเกือบขนานกับพื้นราบ กลีบเลี้ยงคู่ข้างบางกว่ากลีบเลี้ยงอันบนมาก ขอบด้านบนเชื่อมติดกันเกือบตลอดความยาว ดอกสีน้ำตาลแดง 4. B. lepidum

   2. ดอกเป็นดอกเดี่ยว หรือออกเป็นช่อแบบกระจะ (raceme) โดยมีดอกเรียงสลับไปตามแกน ของช่อดอกซึ่งตั้งขึ้นหรือห้อยลง กลีบเลี้ยงคู่ข้างแยกจากกัน หรือเชื่อมกันเฉพาะที่ปลาย

      3. ดอกเป็นดอกเดี่ยว 1. B. affine

      3. ดอกออกเป็นช่อแบบกระจะ

         4. แกนช่อดอกห้อยลง กลีบเลี้ยงคู่ข้างแยกจากกัน ที่ปลายกลีบเลี้ยงทั้งสามมีรยางค์รูป ทรงกระบอก เคลื่อนไหวได้ ดอกสีม่วงแดง 3. B. lemniscatoides

         4. แกนช่อดอกตั้งขึ้น กลีบเลี้ยงคู่ข้างแยกกัน หรือเชื่อมกันเฉพาะที่ปลาย ปลายกลีบเลี้ยง ไม่มีรยางค์

            5. กลีบเลี้ยงคู่ข้างแยกจากกัน ขอบด้านล่างมีขน กลีบปากไม่มีแฉกข้างที่ใกล้ฐาน ขอบกลีบดอกมีขน ดอกสีขาว 5. B. parviflorum

            5. กลีบเลี้ยงเชื่อมกันที่ปลาย ขอบด้านล่างไม่มีขน กลีบปากมีแฉกข้างที่ใกล้ฐาน ขอบกลีบดอกไม่มีขน ดอกสีม่วงแดง 6. B. propinquum

1. Bulbophyllum affine Lindl., Gen. Sp. Orchid. Pl.: 48 (1830); Hook. f. in Fl. Brit. India 6: 756 (1890); Seidenf. & Smitinand, Orch. Thailand 3: 378, fig. 285 (1961); Seidenf. in Dansk Bot. Arkiv bd. 33: 18, fig. 3 (1979); Opera Botanica 114: 307 (1992).

   กล้วยไม้อิงอาศัย เหง้าระหว่างลำลูกกล้วยหนาประมาณ 3 - 5 มม. ลำลูกกล้วย สีเขียวอ่อน รูปกรวยแกมรูปทรงกระบอก ขนาด 3 - 5 x 0.8 – 1.2 ซม. แต่ละลำห่างกัน 3 - 5 ซม. ใบ 1 ใบ รูปขอบขนาน ขนาดใบ 10 -15 x 2 - 3 ซม. ปลายใบเว้าบุ๋ม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ ใบหนา ดอกเป็นดอกเดี่ยว ออกจากข้อตามเหง้าใกล้ฐานของลำลูกกล้วย ก้านดอกยาว 5 - 7 ซม. หนาประมาณ1.5 มม. ดอกสีเขียวอมเหลือง มีแถบสีม่วงแดงตามยาวที่กลีบดอกและกลีบเลี้ยง กลีบเลี้ยงอันบนรูปไข่แกมรูปใบหอก ปลายแหลม ยาวประมาณ 2 ซม. มีแถบสีม่วงแดง 5 แถบ กลีบเลี้ยงคู่ข้าง รูปใบหอก ปลายแหลม โคนเบี้ยว ยาวประมาณ 2.5 ซม. มีแถบสีม่วงแดง 5 – 6 แถบ กลีบดอกรูปใบหอก ปลายแหลม มีความยาวใกล้เคียงกับกลีบเลี้ยงอันบนแต่แคบกว่า มีแถบสีม่วงแดง 3 แถบ กลีบปากสีเหลือง รูปขอบขนาน โค้ง ยาว 8 - 9 มม. ด้านบนตรงกลางเป็นร่องตื้น ๆ มีสีเหลือง ด้านข้างเป็นสีม่วงแดง เส้าเกสรสั้น สีเหลือง ขอบสองข้างเป็นแถบสีม่วงแดง ฝาอับเรณู (operculum) สีเหลือง ผล เป็นฝัก รูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ ยาว 2.5 - 3 ซม.

ประเทศไทย.- เหนือ: เชียงใหม่ (ดอยสุเทพ อมก๋อย ดอยอินทนนท์); ตะวันออกเฉียงเหนือ: เลย (ภูกระดึง) ขอนแก่น (ภูเวียง) เพชรบูรณ์ (น้ำหนาว); ตะวันออก: ชัยภูมิ
(ป่าหินงาม).

การกระจายพันธุ์.- เนปาล อินเดีย ภูฐาน จีน ลาว ไทย และเวียดนาม

นิเวศวิทยา.- ขึ้นตามต้นไม้ในที่ค่อนข้างชื้นริมลำธารทางขึ้นสู่สุดแผ่นดิน ออกดอกและผลระหว่างเดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม

ชื่อพื้นเมือง.- สิงโตงาม สิงโตประหลาด

2. Bulbophyllum blepharistes Rchb. f., Flora 55: 278 (1872); Seidenf. & Smitinand, Orch. Thailand 3: 364, fig. 273, pl. XV (1961); Seidenf. in Dansk Bot. Arkiv bd. 33: 196, fig. 143 (1979); Seidenf. & Wood, Orch. Pen. Mal. & Sing.: 432, fig. 196 (1992); Seidenf. in Opera Botanica 114: 263 (1992).- Cirrhopetalum longescapum Teijsm. & Binnend., Nat. Tijdschr. Ned. Ind. 24: 310 (1862).- C. spicatum Gagnep. in Bull. Mus. Paris 2. s. 22(3): 402 (1950).- B. malayanum J. J. Sm. in Bull. Buitenz. 2. s. 8: 25 (1912).

   กล้วยไม้ขึ้นบนหิน เหง้าระหว่างลำลูกกล้วยหนา 3 - 5 มม. ลำลูกกล้วย สีเขียวเข้ม รูปไข่ ขนาด 2 - 3 x 2 - 3 ซม. แต่ละลำห่างกัน 5 - 15 ซม. ใบ 2 ใบ รูปขอบขนานแกมรูปรี (elliptic – oblong) ขนาดใบ 5 - 6 x 2 – 2.5 ซม. ปลายใบเว้าตื้น โคนใบสอบเป็นก้านใบสั้น ๆ ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาและอวบน้ำ ด้านบนสีเขียวเข้ม ด้านล่างสีเขียวอ่อน ช่อดอกตั้งขึ้น ออกจากข้อตามเหง้าใกล้ฐานของลำลูกกล้วย ก้านช่อดอกสีเขียว ยาวได้ถึง 35 ซม. หนา 2 – 2.5 มม. มีใบประดับสีขาวหุ้มรอบก้านช่อดอก ใบประดับกระจายห่าง ๆ แกนช่อดอก (rachis) ยาว 2.5 – 3 ซม. ดอกมีจำนวนมากบานไม่พร้อมกัน ออกชิดกันรอบแกนช่อดอกดูคล้ายช่อดอกแบบซี่ร่ม ก้านดอกย่อยยาว 2.5 - 3 ซม. ใบประดับที่ก้านดอกย่อยรูปสามเหลี่ยม มีขนาดเล็ก ยาว 1.5 – 2 มม. กลีบเลี้ยงอันบนรูปใบหอก ปลายแหลม ยาวประมาณ 2 – 2.2 ซม. ฐานกว้าง 5 มม. กลีบเลี้ยงคู่ข้าง รูปใบหอก ปลายแหลม มีขอบด้านล่างชิดกันตลอดความยาว ทำให้มีลักษณะเป็นแผ่นรูปใบหอก ขนาด 2.5 x 1 – 1.2 ซม. ปลายโค้งลงเล็กน้อย กลีบเลี้ยงทั้งหมดมีสีเขียวแกมเหลือง มีแถบสีม่วงตามยาว โดยแถบที่กลีบเลี้ยงอันบนจะเข้มกว่าแถบที่กลีบเลี้ยงด้านข้าง กลีบดอกเกือบกลม ขนาด 4 x 4 มม. โคนและกลางกลีบมีสีเขียวแกมเหลือง มีแถบสีดำตามยาว ปลายกลีบมีสีดำเข้ม ขอบกลีบเป็นชายครุย กลีบปากรูปสามเหลี่ยมปลายมน โคนเว้า ขนาด 5 x 4 มม. มีจุดประสีชมพู เส้าเกสรขนาด 3 x 3 มม. ด้านบนสีขาว โคนด้านหน้าสีชมพู โคนด้านข้างสีม่วงเข้ม ผลไม่พบ

ประเทศไทย.- เหนือ: แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ (ฝาง ดอยสุเทพ ดอยขุนห้วยปง) พิษณุโลก (ทุ่งแสลงหลวง); ตะวันออกเฉียงเหนือ: เลย (ภูกระดึง); ตะวันออก: ชัยภูมิ (ป่าหินงาม); ใต้: ระนอง (เขาพระหมี)

การกระจายพันธุ์.- อินเดีย พม่า ไทย ลาว เวียดนาม และมาเลเซีย

นิเวศวิทยา.- พบน้อย ขึ้นบนก้อนหินในที่ร่มในป่าเต็งรังบริเวณหินงาม ออกดอกเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม

ชื่อพื้นเมือง.- สิงโตกลอกตา สิงโตสมอหิน

3. Bulbophyllum lemniscatoides Rolfe, Gard. Chron. 1: 672 (1890); Back. & Bakh. f., Fl. Java 3: 381 (1968); Seidenf. in Dansk Bot. Arkiv bd. 33(3): 203 (1979); Seidenf. in Opera Botanica 114: 263 (1992).

   กล้วยไม้อิงอาศัย มีเหง้าระหว่างลำลูกกล้วย เหง้าหนาประมาณ 2 มม. ลำลูกกล้วยรูปไข่ ขนาด 1.5 - 2 x 1 - 1.5 ซม. แต่ละลำอยู่ห่างกันประมาณ 5 มม. เวลาออกดอกไม่พบใบ ช่อดอกตั้งขึ้น ยาว 15 - 20 ซม. ไม่แตกแขนง ก้านช่อดอกส่วนล่างแคบ หนาประมาณ 1 มม. ส่วนบนกว้างกว่า ส่วนกว้างสุดหนาประมาณ 1.5 มม. อยู่ห่างจากปลายก้านดอก 2 - 3 ซม. หนาประมาณ 1.5 ม. แกนช่อดอก (rachis) ห้อยลง ยาว 1.5 - 3 ซม. ดอกขนาดเล็ก สีม่วงแดง มีจำนวนมาก ดอกบานกว้างประมาณ 3 - 3.5 มม. ก้านดอกย่อยสั้น ยาวประมาณ 1 มม. ใบประดับยาวประมาณ 1.5 มม. กลีบเลี้ยงอันบนรูปไข่ ยาวประมาณ 2 มม. โค้งเข้า กลีบเลี้ยงคู่ข้างรูปร่างคล้ายกลีบเลี้ยงอันบน แต่ฐานกว้างกว่าเล็กน้อย ด้านนอกกลีบเลี้ยงมีขน ใกล้ปลายกลีบด้านนอกมีรยางค์ขนาดเล็ก ทรงกระบอก ยาว 7 - 8 มม. เคลื่อนไหวได้ กลีบดอกสีขาว รูปขอบขนานแกมรูปไข่ (ovate – oblong) ขอบหยักไม่เป็นระเบียบ ปลายแยกเป็น 2 แฉก ขนาดกลีบดอก 1.5 x 0.8 มม. กลีบปากรูปขอบขนาน สีม่วงดำ ขนาด 2 x 0.5 มม. เส้าเกสรสั้นมาก ผลไม่พบ

ประเทศไทย.- ตะวันออก: ชัยภูมิ (ป่าหินงาม เป็นครั้งแรกที่มีรายงานการพบเหนือภาคใต้); ใต้: ระนอง (เขาพระหมี) ตรัง (เขาช่อง)

การกระจายพันธุ์.- เวียดนาม ไทย อินโดนีเซีย

นิเวศวิทยา.- พบน้อย บริเวณริมหน้าผาสุดแผ่นดิน ออกดอกช่วงเดือนมกราคม

ชื่อพื้นเมือง.- สิงโตขนตาแดง

4. Bulbophyllum lepidum (Blume) J. J. Sm., Fl. Buitenz. 6: 471, fig. 361 (1905); Holttum, Rev. Fl. Malaya 1: 415, figs. 121d-g (1957); Seidenf. & Smitinand, Orch. Thailand 3: 371, fig. 279, pl. XV (1961); Back. & Bakh. f., Fl. Java 3: 380 (1968); Seidenf. in Dansk Bot. Arkiv bd. 33(3): 157, fig. 105 (1979); Seidenf. & Wood, Orch. Pen. Mal. & Sing.: 441, fig. 199a-b (1992); Seidenf. in Opera Botanica 114: 279 (1992).- Ephippium lepidum Blume, Bijdr.: 310 (1825).- B. griffithianum Par. & Rchb.f. in Trans. Linn. Soc. 30: 153 (1874); Ridl., Fl. Malay Penins. 4: 80 (1924).- Cirrhopetalum siamense Rolfe ex Downie in Bull. Misc. Inform. Kew 1925: 375 (1925).- C. gagnepainii Guillaumin in Bull. Mus. Paris 2. S. 36(3): 379 (1964).

   กล้วยไม้อิงอาศัย มีเหง้าระหว่างลำลูกกล้วย เหง้าหนาประมาณ 3.5 มม. ลำลูกกล้วยรูปไข่ ขนาด 1 - 2 x 1.2 - 1.5 ซม. มีสันโดยรอบ 4 สัน ลำลูกกล้วยอยู่ห่างกัน 3 - 4 ซม. ใบรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ ขนาดใบ 12 - 13 x 3.5 - 4 ซม. ช่อดอก แบบซี่ร่ม มี 1 - 2 ช่อ แต่ละช่อมี 5 - 8 ดอก ก้านช่อดอกไม่แยกแขนง ยาวประมาณ 10 ซม. หนาประมาณ 1 มม. มีใบประดับย่อย 2 - 3 ใบ ดอกสีน้ำตาลแดง ก้านดอกย่อยยาว 5 - 7 มม. ใบประดับย่อยที่รองรับดอกยาวประมาณ 2 มม. กลีบเลี้ยงอันบนรูปไข่ ยาวประมาณ 5 มม. ฐานกว้างประมาณ 3 มม. ขอบมีขนสีม่วงแดง ปลายแหลมเหมือนเข็ม (aristate) เป็นเส้นยาวประมาณ 4 มม. กลีบเลี้ยงคู่ข้างรูปใบหอก ขนาด 1.5 - 2 x 0.4 ซม. ขอบด้านบนเชื่อมติดกัน ทำให้มีลักษณะเป็นแผ่นรูปขอบขนาน กลีบดอกรูปสามเหลี่ยม ยาวประมาณ 5 มม. ขอบมีขน ปลายเป็นติ่ง กลีบปากโค้ง สีม่วงแดง มีจุดประสีชมพู เส้าเกสรสั้น ด้านล่างสีขาว ด้านบนสีม่วงแดง ผลเป็นฝักรูปขอบขนาน ขนาด 2 - 2.5 x 0.8 - 1 ซม.

ประเทศไทย.- เหนือ: เชียงใหม่ (ดอยสุเทพ) ลำปาง; ตะวันออกเฉียงเหนือ: สกลนคร (ภูพาน); ตะวันออก: ชัยภูมิ (ป่าหินงาม ตาดโตน) ศรีสะเกษ (เขาพระวิหาร); ตะวันออกเฉียงใต้: จันทบุรี (เขาสระบาป มะขาม) ตราด (เกาะช้าง); ใต้: กระบี่ สุราษฎร์ธานี ระนอง (เขาพระหมี คลองนาคา)

การกระจายพันธุ์.- หมู่เกาะอันดามัน พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา ไทย
มาเลเซีย อินโดนีเซีย

นิเวศวิทยา.- พบค่อนข้างมากบริเวณที่มีแสงแดดจัด ออกดอกและผลระหว่างเดือนกันยายน - ธันวาคม

ชื่อพื้นเมือง.- สิงโตพัดแดง

5. Bulbophyllum parviflorum Par. & Rchb. f. in Trans. Linn. Soc. 30: 152 (1874); Hook. f. in Fl. Brit. India 5: 763 (1890); Seidenf. in Dansk Bot. Arkiv bd. 33(3): 103, fig. 62 (1979).- Phyllorchis parviflora (Par. & Rchb.f.) Kuntze, Rev. Gen. 2: 667 (1891).

   กล้วยไม้อิงอาศัยหรือขึ้นบนหิน มีเหง้าแข็งระหว่างลำลูกกล้วย หนาประมาณ 3 มม. ลำลูกกล้วยสีขาวแกมเหลือง รูปร่างกมแบน ขนาด 0.8 - 1.2 x 1 - 1.5 ซม. อยู่ห่างกัน 1 - 1.5 ซม. ใบรูปขอบขนาน ปลายใบมนหรือแหลม โคนใบสอบเรียว (attenuate) คล้ายเป็นก้านใบ ขอบใบเรียบ ขนาดใบ 4.5 - 7.5 x 0.7 - 1 ซม. ช่อดอกแบบกระจะ ยาว 7 - 22 ซม. ก้านช่อดอกเรียวยาว ขนาด 5 -10 x 0.1 ซม. บริเวณก้านดอกมีใบประดับย่อยขนาดเล็ก 3 - 4 ใบ ดอกขนาดเล็ก มีจำนวนมาก สีขาว กลิ่นหอม ดอกบานเส้นผ่านศูนย์กลาง 3 - 4 มม. ก้านดอกย่อยสั้น ยาว 1 - 1.5 มม. ใบประดับยาวประมาณ 1 มม. กลีบเลี้ยงอันบนรูปใบหอก ยาวประมาณ 3 มม. กลีบเลี้ยงคู่ข้างรูปร่างคล้ายกลีบเลี้ยงอันบน แต่กว้างและยาวกว่าเล็กน้อย ขอบด้านล่างมีขนสั้น ๆ กลีบดอกรูปขอบขนาน ปลายมน ขนาด 1.5 x 1 มม. ขอบมีขนทั้งสองข้าง กลีบปากสีเขียว รูปขอบขนาน โค้ง ไม่มีแฉกข้าง ขนาด 2 x 0.8 มม. ด้านข้างมีขน เส้าเกสรสั้น ขนาด 1 x 0.8 มม. ผล เป็นฝัก ขนาด 0.4 - 0.5 x 0.8 - 1 ซม.

ประเทศไทย.- ตะวันออกเฉียงเหนือ: เพชรบูรณ์ (น้ำหนาว); ตะวันออก: ชัยภูมิ (ป่าหินงาม)

การกระจายพันธุ์.- พม่า (เทือกเขาตะนาวศรี) ไทย

นิเวศวิทยา.- พบบนต้นไม้เตี้ย ๆ หรือบนก้อนหิน บริเวณใกล้หน้าผาที่มีลมพัดแรงในป่าเต็งรัง ระดับความสูงจากน้ำทะเลประมาณ 800 ม. ออกดอกและผลระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม

ชื่อพื้นเมือง.- สิงโตรวงข้าวน้อย

6. Bulbophyllum propinquum Kraetzl, Orchis 2: 62 (1908); Seidenf. & Smitinand, Orch. Thailand 3: 432 (1961), pro parte; Seidenf. in Dansk Bot. Arkiv bd. 33: 123, fig. 81, pl. 4 (1979).- B. chlorostachys Schltr., Orchis 6: 66, t. 13 a (1912); Seidenf. & Smitinand, Orch. Thailand 3: 432 (1961), pro parte.

 

 

 

 


 

 

กล้วยไม้ขึ้นบนก้อนหิน เหง้าระหว่างลำลูกกล้วยหนาประมาณ 3 มม. ลำลูกกล้วย สีเขียวอ่อน รูปไข่ ขนาด 3 x 2.5-3 ซม. มักย่นและเป็นร่องตื้น ๆ โดยรอบ แต่ละลำห่างกัน 2 - 4 ซม. ใบ 1 ใบ รูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ ขนาดใบ 9 - 10 x 2 - 3 ซม. ช่อดอกแบบกระจะ ดอกจำนวนมาก ค่อนข้างแน่น ก้านช่อดอกยาว 5 - 7 ซม. หนา 1.5 - 2 มม. โคนก้านช่อดอกมีกาบหุ้มซ้อนทับกันสูงขึ้นมา 2 - 3 ซม. ดอก สีม่วงแดง กลิ่นหอม ก้านดอกย่อยยาวประมาณ 3 มม. ใบประดับย่อยยาวประมาณ 3 มม. กลีบเลี้ยงอันบนรูปไข่ ปลายมน ยาวประมาณ 5 มม. โคนกว้างประมาณ 4 มม. มีแถบสีม่วงแดงประมาณ 5 แถบ กลีบดอกรูปสามเหลี่ยม โคนเบี้ยว ขอบหยักไม่เป็นระเบียบ ด้านบนและด้านล่างสีขาว โคนกลีบสีน้ำตาล ตรงกลางมีเส้น vein 1 เส้น ความยาวกลีบ 2 มม. กลีบปากรูปขอบขนาน โค้ง ขนาด 5 x 3 มม. ด้านบนตรงกลางเป็นร่องตื้น ๆ มีสีเหลือง ด้านข้างเป็นสีน้ำตาล ด้านล่างตรงกลางเป็นร่องลึกยาวตลอดความยาวของกลีบปาก โคนกลีบปากด้านล่างสีเหลือง แฉกข้างตั้งขึ้น สีน้ำตาล ด้านหน้าหยักซี่ฟัน (dentate) เส้าเกสรสีขาวแกมเหลือง ขนาด 3 x 1.5 มม. ขอบสองข้างเป็นแถบสีม่วงแดง ฝาอับเรณูสีเหลือง ผลเป็นฝัก ขนาด 1 - 1.5 x 0.6 - 1 ซม.

ประเทศไทย.- เหนือ: เชียงใหม่ (ดอยสุเทพ ดอยสะเก็ด); ตะวันออก: ชัยภูมิ
(ป่าหินงาม เป็นรายงานการพบครั้งแรกนอกเขตจังหวัดเชียงใหม่)

การกระจายพันธุ์.- ไทย

นิเวศวิทยา.- ขึ้นตามก้อนหินบริเวณใกล้หน้าผาสุดแผ่นดิน ออกดอกและผลระหว่างเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์

ชื่อพื้นเมือง.- เอื้องกีบม้าขาว